เทศน์เช้า

คนพึ่งธรรม

๒๒ เม.ย. ๒๕๔๔

 

คนพึ่งธรรม
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๔๔
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ดูของทุกอย่างมันเกิดขึ้นจากคน คนเป็นคนสร้างทุกสิ่งทุกอย่างเลยนะ แล้วคนคุณงามความดี พลังงานของเรา เราใช้กันสุรุ่ยสุร่ายไง พลังงานของใจนะ ความคิดของคน แล้วความคิดการกระทำของคนมันออกไป มันใช้เราคิดว่าเป็นประโยชน์ ทุกคนคิดว่าเป็นประโยชน์กับตัวเองทั้งหมดเลย

ความคิดออกไป เห็นไหม มันคิดออกไปนี่พลังงานถึงได้มาก ดูวัตถุสิ่งต่างๆ วิทยาศาสตร์ต่างๆ คนเป็นผู้สร้าง คนเป็นผู้สร้างนะ แล้วพลังงานมันยังเหลือใช้อีก ดูอย่างทางยุโรป พวกการกีฬาเขาเป็นธุรกิจเลยนะ การกีฬาเขาเอาพลังงานของคน ดึงพลังงานของคนไปใช้ไง ถ้าพลังงานของคนมันได้ไปใช้ มันอัดอยู่ในคนๆ นั้น

แต่ของเราไม่คิดอย่างนั้น ในทางตะวันออกเรามันไม่มีเรื่องอย่างนั้น ในทางตะวันออกนี้ ถ้าเรื่องของศาสนา ให้ศาสนานี่มาควบคุมใจของเรานะ ควบคุม เห็นไหม ให้พลังงานนี้ใช้ไปในทางของศาสนา ให้พลังงานนี่ควบคุมของใจ ใจที่มันบังคับไม่ได้ มันพยายามดิ้นรนไปประสาของมันเอง ถ้าไปทางโลก ถ้าคนๆ นั้นมีบุญกุศล

ถ้าคนเชื่อนะ คนเชื่อกันว่าเราเกิดมาในครอบครัวอันสมบูรณ์ เห็นไหม ครอบครัวพ่อแม่เป็นสัมมาทิฏฐิก่อน ครอบครัวไม่เป็นครอบครัวอันสมบูรณ์นะ ครอบครัวที่เป็นสมบูรณ์ในครั้งพุทธกาลที่ว่าร่ำรวยมากแต่เป็นมิจฉาทิฏฐิ คือว่าไม่สนใจในเรื่องของศาสนา นางวิสาขาได้ไปเป็นสะใภ้บ้านนั้น แล้วพระมาบิณฑบาต พ่อเขากินอาหารอยู่ เขานิมนต์พระไปข้างหน้าก่อนไง บอก

“นิมนต์ไปข้างหน้าก่อนเถอะ พ่อกำลังกินของเก่าอยู่”

ฮู๋ย... พ่อเขาโกรธมากนะ เพราะกินในสมัยโบราณนี่เขาประณีตมาก กินของเก่าอยู่ เขาเรียกกินของเก่า กินอะไร?

แต่เวลาเขาสอบสวนกัน พอมีปัญหาขึ้นมาเขาสอบสวนกัน นางวิสาขาบอกไม่ได้พูดอย่างนั้น คำว่า “กินของเก่า” หมายถึงกินบุญเก่า เขาเกิดมาในครอบครัวอันสมบูรณ์มาก เขาเป็นลูกของมหาเศรษฐี เป็นเศรษฐีของเมืองนั้น เห็นไหม มันต้องมีบุญกุศลมา มันถึงมาเกิดในสภาพแบบนั้น เขาต้องเกิดสภาพแบบนั้นมา เขาถึงมีบุญกุศลของเขา

เราเกิดมา คนเกิดมา ถ้าเกิดมาอย่างนี้แล้วไม่เชื่อในศาสนา เขาก็เกิดมาเพราะบุญของเขานั่นแหละ แต่เขาไม่เชื่อของเขาเองว่าบุญพาเขามาเกิดในสภาพแบบนั้น แต่คนทุกข์คนยากพวกเรานี่ มันต้องใช้ทำงานตลอดเวลา แล้วนี่หรือบุญพาเกิด?

เรามองข้ามกันไปไง มนุษย์มองข้ามตัวเองกันไป ทุกอย่างเลยว่าสิ่งที่ว่าเอามนุษย์ให้อยู่ในความเป็นต่ำ คนนี่ให้ค่าต่ำ แต่ให้วัตถุสิ่งของข้างกายเรามีค่ามากกว่าเรา อวดกันคุณค่ากัน ของที่มีคุณค่านั้นเอามาอวดกันว่าตัวเองมีที่พึ่งที่อาศัยไง อวดกันตรงนั้นนะ ให้คุณค่าของอันนี้ต่ำลง มนุษย์นี้มีคุณค่าของเครื่องยนต์กลไกไง มนุษย์นี้เป็นขี้ข้า เป็นผู้ใช้เครื่องยนต์กลไก ถ้าคนนั้นฉลาดขึ้นมา เครื่องยนต์กลไกนั้นจะเป็นประโยชน์กับคนๆ นั้น ถ้าคนเราเป็นขี้ข้าของมันนะ ให้มันพาใช้นะ วิ่งเต้นนะ

สมัยนี้ธุรกิจ สมัยของการพาณิชย์ เห็นไหม คนเรานี้ต้องทันกับเวลา ให้เวลานี่ไสหัวไปตลอดเวลาเลย ผลักหัวไสบังคับใช้งานไปนะ เราก็ไสไปกับมัน ถ้าเราทำงานในเหตุการณ์นั้น เราประกอบธุรกิจ มันต้องเป็นแบบนั้น ขณะที่ประกอบธุรกิจ พ้นจากธุรกิจมา พ้นจากเวลาของการทำงานมา เราต้องทำใจของเราให้สบายได้สิ ทำใจของเราให้ปลอดโปร่งได้ ทำใจของเราให้มีที่พึ่งได้

คนมีศาสนามันมีหลักตรงนี้ไง หลักของศาสนาเป็นที่พึ่งของใจ ถ้าใจมีหลักศาสนา คนนั้นไม่มีว้าเหว่ คนเรานี่ว้าเหว่มาก อยู่ในคนเดียว ความคิดของเรามันจะไม่มีที่พึ่งที่อาศัยเลย ว้าเหว่มาก อยู่ในครอบครัว เป็นคู่สามีภรรยากันก็มีที่พึ่งอาศัยกัน เป็นพ่อเป็นแม่กัน เป็นบุตรกันเป็นธิดากันก็มีพึ่งพาอาศัยกัน มันอบอุ่นอย่างนั้นเวลามันอบอุ่น

แต่ความจริงแล้วพออยู่เฉยๆ ทุกคนเลยอยู่ในบ้านให้เขานอนหลับให้หมดเลย เรานั่งอยู่คนเดียว เราว้าเหว่ไหม? เราก็ต้องว้าเหว่ เห็นไหม นี่ใจไม่มีที่พึ่ง ใจว้าเหว่คือใจที่ไม่มีหลักศาสนา ใจไม่มีหลักศาสนาเป็นที่พึ่งของใจ ใจนี้ไม่มีเพื่อนใจ ไม่มีที่พึ่งอาศัย มันถึงว้าเหว่ ถ้ามีหลักของศาสนา หลักของศาสนาเริ่มบังคับมา เห็นไหม ถ้าเราเชื่อของหลักศาสนา เราเชื่อของศีลของธรรม เราจะบังคับใจของเรา

พลังงานที่มันใช้ไปโดยเปล่าประโยชน์ พลังงานที่มันใช้ไปที่ว่าเราได้เป็นมนุษย์สมบัติ มนุษย์สมบัตินี้มีค่ามากที่สุดเลย มีค่ามากที่สุดเพราะอะไร? เพราะมีกายกับใจ มีความคิด ปัญญาของเราคิดแม้แต่ เห็นไหม ทำให้หัวใจของเราพ้นจากกรงขังของความคิดได้ พ้นไปจากกรงขังของความคิด ขณะที่เราคิดอยู่เราคิดแบบโลก แบบวิทยาศาสตร์นะคิดแบบโลก

คิดแบบโลกมันก็อยู่ในกรงขังของความคิด เห็นไหม ขันธ์ ๕ นี่เป็นกรงขังของความคิด เราคิดได้ขนาดนั้น แล้วเราก็คิดได้ด้วยความจำของเรา เราศึกษามาขนาดไหน คนมีปัญญามาก ศึกษามากขนาดไหน มันก็คิดในกรอบของความคิดของตัวเองนั่นนะ

ถ้ามันคิดออกไปดีขึ้นมาหน่อยหนึ่งก็เป็นพวกจินตมยปัญญา พวกนักประพันธ์ต่างๆ เขาใช้ความประพันธ์ของเขา เขาคิดออกมา เขาเทียบเคียง เขาเขียนเป็นนวนิยายออกมา พวกนักวิทยาศาสตร์เขาคิดออกมาเป็นทางวิทยาศาสตร์ เขาคิดออกไป มันใช้จากสุตมยปัญญา คือข้อมูลเดิมที่โลกเขามีอยู่แล้ว แล้วต่อยอดขึ้นไปด้วยจินตมยปัญญา

แต่ทำความสงบของใจ ของเราพระพุทธเจ้าสอนให้ทำความสงบของใจ ใจนี้ให้มีความสงบของใจขึ้นมาก่อน พอมีความสงบของใจขึ้นมาก่อน แบบนักวิทยาศาสตร์นะ เขาทำอะไรกัน เขาต้องคิด เขาต้องตรึก ความตรึกของเขา เขาคิดใคร่ครวญ เขาคิดซ้ำๆ บ่อยๆ นั่นน่ะ คิดซ้ำคิดซาก คิดซ้ำคิดซาก ใจมันก็จะหมุนเวียนอยู่นั่น นั่นเป็นสมาธิโดยที่เขาไม่รู้ตัว

แล้วเขามีปัญญาขึ้นมา ทำไมเขามีปัญญาขึ้นมา อันนั้นไม่เป็นจินตมยปัญญาล่ะ? จินตมยปัญญาเพราะเขาคิดในวัตถุ เขาคิดแต่เรื่องข้างนอก ภาวนามยปัญญา เห็นไหม เราทำความสงบของใจเข้ามา จากที่ว่ามันไม่มีเพื่อน ๒ พลังงานนี้ใช้ไปโดยเปล่าประโยชน์ พลังงานนี้เป็นพลังงานหยุดนิ่ง

พลังงานที่มันเคลื่อนที่ได้เร็วที่สุด เรื่องของหัวใจเคลื่อนที่ได้เร็วที่สุด คิดถึงอเมริกา คิดถึงโลกดวงจันทร์ ใครเคยไปดวงจันทร์มา คิดถึงจะถึงทันทีเลย ชั่ววินาทีเดียวนี้ ความเร็วของใจไปได้รอบโลกธาตุ ไปได้ทั่วหมดเลย สิ่งที่เคลื่อนที่ได้เร็วที่สุดแล้วจับให้มันหยุดนิ่งได้ พลังงานมันจะเกิดขนาดไหน?

นี่สัมมาสมาธิ ความคิดนี่สัมมาสมาธิ มันจะเกิดตัวพองตัวใหญ่ตัวนี่ จนขนาดที่ว่าถ้าจิตที่ว่ามีปีติแปลกประหลาด ขนาดว่าจิตสงบจะเห็นตัวเองนี่หลุดออกไปนะ เห็นดวงใจหลุดออกไปจากตัว ไปเดินจงกรมอยู่บนอากาศนะ เห็นตัวเองหลุดออกไปนั่งสมาธิอยู่บนก้อนเมฆ อย่างนี้ก็มี แต่ถ้าส่วนใหญ่แล้ว ถ้ามันเป็นไม่ได้ มันสงบขึ้นมาให้มันสงบในหัวใจ พอใจมันสงบเข้ามา มันจะย้อนกลับเข้ามาภายในๆ

สิ่งที่เคลื่อนที่เร็วที่สุดแล้วมันหยุดนิ่ง สิ่งที่หยุดนิ่งมีพลังงานขนาดไหน นี่ถ้าคิดทางวิทยาศาสตร์ พลังงานมันจะเกิดขึ้นมามากเลย แล้วเราใช้พลังงานนั้นวนกลับมา

ถ้าเราคิดออกไปอย่างนี้มันจะเป็นจินตมยปัญญาตลอดเลย เพราะอะไร? เพราะมันคิดในวงของขันธ์ วงของความคิดมันเป็นจินตมยปัญญา แต่ถ้าภาวนามยปัญญา มันคิดออกไปนอกวงของความคิดเดิมไง ความคิดของความคิดเดิมนี่เป็นขันธ์ ขันธ์คือความคิด คือสุตมยปัญญา คือข้อมูลเดิม เราคิดตามข้อมูลเดิมมันก็ซ้ำรอยข้อมูลเดิมไป เห็นไหม มันเป็นจินตะ เป็นจินตนาการต่อยอดขึ้นไปเป็นจินตนาการไป

แต่ถ้าเป็นภาวนามยปัญญาขึ้นมา มันจะไม่ใช่จินตนาการ มันหลุดออกจากจินตนาการออกไป พอหลุดออกจากจินตนาการออกไป ความคิดใหม่ขึ้นมา เห็นไหม ไม่มีตัวตนของเราเข้าไปเกี่ยวข้อง นี่ภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นอย่างนั้น นี่หลักของศาสนา

ทำคนๆ นั้น ทำพลังงานที่ว่าสกปรกให้เป็นพลังงานสะอาดขึ้นมา ถ้าพลังงานอันนี้ ความคิดนี้มันสะอาดขึ้นมา พลังงานตัวนี้มันสะอาดขึ้นมา พอสะอาดขึ้นมา ร่มเย็นเป็นสุขในหัวใจดวงนั้นก่อน ใจดวงนั้นจะร่มเย็นเป็นสุขมากเพราะพลังงานนี้มันสะอาดขึ้นมาแล้ว แล้วมันยังรู้วิธีการนะ สำคัญ ตรงนี้สำคัญมาก สำคัญว่าคนเคยทำมา คนเคยเห็นมา คนเคยปั้นสิ่งนั้น ทำศิลปะสิ่งต่างๆ แล้วปั้นมากับมือ เราทำขึ้นมาได้ของเรา

แต่อันนี้ก็เหมือนกัน เราทำใจของเราขึ้นมาได้ วิธีการ การกระทำขึ้นมา เราประสบการณ์มาตลอดมา ไอ้เหตุอันนี้ เหตุคืออริยสัจ เห็นไหม ความจริงที่อริยสัจ สัจจะเหนือกว่าสัจจะความจริงในโลกนี้ สัจจะความจริงในโลกนี้ สมมุติสัจจะ เห็นไหม การเกิดขึ้นมานี้ชั่วคราว อยู่กันด้วยความเป็นจริงชั่วคราว แล้วต้องบุบสลาย ต้องแปรสภาพไปทั้งหมดเลย นี่สมมุติสัจจะ

แล้วก็บัญญัติขึ้นมาเป็นอริยสัจจะ อริยสัจจะมันครอบสมมุติสัจจะอีกทีหนึ่ง แล้วเราไปรู้อริยสัจจะอันนั้น เห็นไหม อริยสัจจะนี้มันเป็นมรรคไง เป็นเครื่องดำเนินไป เป็นวิธีการที่เราจะก้าวเดิน ที่จิตใจจะก้าวเดินพ้นออกไป พอพ้นออกไปอันนั้น จิตที่พ้นออกไป ทำพลังงานสะอาดอันนั้น มันไม่ใช่อริยสัจ มันเหนืออริยสัจ แต่มันผ่านขั้นตอนอริยสัจ ตอนผ่านขั้นตอนอันนั้นคือวิธีการที่เอามาสอนกันไง วิธีการที่บอกกับพวก ครูบาอาจารย์ที่ว่าพึ่งตนเองได้แล้ว ตนเป็นที่พึ่งตนเองได้แล้วหนึ่ง แถมยังเป็นที่พึ่งคือบอกวิธีการกับสัตว์โลกต่างๆ ทั้งหลาย

ดูพลังงานของมนุษย์ เห็นไหม ดูพลังงานของครูบาอาจารย์สิ คนๆ หนึ่งสะสมบุญญาธิการมาขนาดนั้น ต้องสะสมบุญญาธิการมามันถึงจะมีความคิดในหัวใจ ความคิดที่ย้อนกลับมาในหัวใจนี่ ถ้าเราไม่สะสมบุญญาธิการมา มันไม่เชื่อ

สิ่งที่ไม่เชื่อนี่แปลกประหลาดมหาศาลเลย สิ่งที่ไม่เชื่อนี่ไม่สามารถก่อรูปก่อร่างขึ้นมาได้เลย สิ่งที่เชื่อขึ้นมา มันจะก่อรูปก่อร่างขึ้นมาในหัวใจได้ ความเชื่อนี่จะก่อรูปก่อร่างขึ้นมาในหัวใจ มันจะก่อร่างขึ้นมาเลย ก่อร่างขึ้นมันจะหันกลับมา มันจะทำได้

ถ้าทำไม่เชื่อมันไม่ก่อร่าง เหมือนกระแสน้ำ ถ้าเราไม่สร้างเขื่อนขึ้นมา เราไม่สามารถกักน้ำได้เลย ถ้าเราสร้างเขื่อนขึ้นมา ทำฝายทำเขื่อนขึ้นมา มันจะกักน้ำได้ ถ้าฝายกั้นน้ำได้น้อยหน่อย ถ้าเขื่อนกั้นน้ำได้มากหน่อย การกักน้ำนั้น เห็นไหม กับพลังงานที่มันใช้สูญเปล่า ให้เป็นประโยชน์ขึ้นมากับเรา

นี่ความเชื่อเริ่มกักพลังงานขึ้นมา พลังงานนั้นขึ้นมามีขึ้นมาแล้วมันเห็นเอง คนขอให้ได้พลังงานนี้มันสงบนิ่งก่อน มันจะมีความสุขขึ้นมามหาศาลนะ จากที่เรานี่ว้าเหว่มาก จากที่เราคิดมาก คิดจนวิตกวิจารนะ จนเครียดนะ แล้วมันหยุดนิ่งได้ ความหยุดนิ่งได้มันอิ่มเต็ม มันมีความสุขแล้วชั้นหนึ่ง แล้ววิปัสสนาเข้าไป ทำความสะอาดเข้าไป สิ่งนั้นสะอาดขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง แล้วสิ่งที่สะอาดขึ้นมา มันเป็นพลังงาน (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)